14 พฤศจิกายน 2552

สุขภาพ

ชื่อน.ส.จ.งรักษ์ เทียนไชย

ชื่อเล่น รักษ์เกิด 30 พฤศจิกายน 2530

อายุ 22 ปีสถานภาพ โสด

นำหนัก 55 ก.ก. สูง 163 ซม.

สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธการศึกษาประถมศึกษา

รร.วัดสฏางค์มัธยมศึกษา รร.ท่าเรือนิตยานุกูล

ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยการอาชีพสระบุรี

ทำงานบริษัท มินอิกเทคโนโลยีไทยแลนด์ตำแหน่ง ตรวจสอบชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์

09 พฤศจิกายน 2552

วิธีลดแคลอรี่ส่วนเกิน







ใครที่อยากลดแคลอรี่ในร่างกาย เรามีวิธีดีๆมาบอก...



วิธีต่อไปนี้จะทำให้สามารถลดปริมาณแคลอรี่ไปได้ตั้งเกือบ ๆ 100 แคลอรี่


1. เวลาจะเจียวไข่ให้ใส่ผักสด เช่น หัวหอม มะเขือเทศ เห็ดสดลงไปด้วย และใช้วิธีทอดด้วยน้ำแทนจะทำให้อิ่มท้องเร็วขึ้น และน้ำมันที่ตัดออกไปก็คือการกำจัดไขมันที่จะเข้าสู่ร่างกายโดยตรง


2. เปลี่ยนจากทานข้าวขาวมาทานข้าวกล้องและเปลี่ยนจากขนมปังขาวธรรมดามาทานขนมปังโฮลวีตแทน เส้นใยในข้าวกล้องและขนมปังโฮลวีตจะช่วยเรื่องขับถ่าย ทำให้น้ำหนักลดลงได้


3. เลิกทานขนมปังพร้อมเนย จะช่วยกำจัดปริมาณแคลอรี่ได้ถึง 75 กิโลแคลอรี่ ต่อขนมปัง 1 แผ่น


4. ทานข้าวน้อยลง 1 ทัพพีสามารถลดได้ 80 แคลอรี่ ทำทั้ง 3 มื้อกำจัดไป 240 แคลอรี่


5. เปลี่ยนขนาดแก้วที่ใส่น้ำผลไม้ให้เล็กลง หรือถ้าดื่มจากกล่องก็ลดขนาดจากกล่อง 250 ซีซี มาเป็น 200 ซีซี แทน


6. เวลาจะเติมน้ำตาลในชาหรือกาแฟให้เปลี่ยนมาใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลสามารถลดได้ 32 แคลอรี่


7. ใช้นมพร่องมันเนยแทนครีมเทียม


8. เวลาทานสลัดผัก ลดปริมาณน้ำสลัดลง 1 ช้อนโต๊ะ จะลดแคลอรี่ได้ 60 แคลอรี่ ถ้าลดปริมาณน้ำสลัดแบบน้ำใสลง 1 ช้อนโต๊ะ จะกำจัดไปได้อีก 45 แคลอรี่


9. ทานอาหารเช้าที่ให้พลังงานต่ำ เช่น แกงจืดผักใส่เต้าหู้หรือผัดผักใส่เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและอาหารใน 1 มื้ออนุญาตให้มีอาหารประเภททอดหรือผัดได้เพียง 1 อย่างเท่านั้น


10. ถ้าใส่น้ำตาลเพียงครึ่งซองหรือลดปริมาณน้ำตาลจาก 2 ช้อนชา (2 ก้อน) เป็น 1 ช้อนชา (1 ก้อน) จะลดได้ 15 แคลอรี่

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากให้แคลอรี่เกินมาตรฐาน ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้.

วิธีทำให้ความจำดีขึ้น





วิธีทำให้ความจำดีขึ้น
1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆ สาวๆ นั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์

2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ขึ้น

3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุด คือ จดทุกอย่างลงในกระดาษเขียนไว้กันลืม

4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอ จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆ ก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆ เข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆ เข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่เราคุ้นเคย

6. ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่เด็ก

7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆ หรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน

8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคย

9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ.. การที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอนั้น จะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ

10. เลียนแบบ ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆ ก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด

11. เอาใจใส่ เคยจำชื่อใครสักคนไม่ได้บ้างหรือเปล่า ปัญหานี้อาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆ นั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น

12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้

13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย

14. ลองทำสิ่งใหม่ๆ จะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ

15. ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า

ถ้าใครอยากมีความจำที่ดีขึ้น ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ผลไม้ไทย 10 อันดับที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง







กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กอโภชนาการ


กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า
ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก


2. มะเขือเทศราชินี


3. มะละกอสุก


4. กล้วยไข่


5. มะม่วงยายกล่ำ


6. มะปรางหวาน


7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง


8. มะยงชิด


9. มะม่วงเขียวเสวยสุก


10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย

1. แก้วมังกร


2. มะขามเทศ


3. มังคุด


4. ลิ้นจี่


5. สาลี่

10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่


2. ฝรั่งไร้เมล็ด 3. มะขามป้อม


4. มะขามเทศ


5. เงาะโรงเรียน


6. ลูกพลับ


7. สตรอเบอร์รี่


8. มะละกอสุก


9. ส้มโอขาว


10. แตงกวา


11. พุทราแอปเปิล


การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ

1. ขนุนหนัง


2. มะขามเทศ


3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ


4. มะเขือเทศราชินี


5. มะม่วงเขียวเสวยสุก


6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก


7. มะม่วงยายกล่ำสุก


8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู


9. สตรอเบอร์รี่


10. กล้วยไข่


- ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล
- ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว (เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอี)ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี


ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี


ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่.


ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่ (ชีวจิต)อาการปวดท้องมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สาเหตุว่าปวดเพราะอะไร ทนได้ก็ทน แค่ถ้าทนไม่ได้ถึงจะกินยาแก้ปวด มูลนิธิหมอชาวบ้านจึงให้คำแนะนำว่า หน้าท้องแข็งเป็นดาน กดแล้วเจ็บ หรือกดแล้วท้องยุบลงไป แต่เจ็บทันทีที่ปล่อยมือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะไม่ออกหรือถ่ายเป็นเลือด หน้าซีด เป็นลม ตัวเย็น เหงื่อออก ไม่รู้สึกตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบไปหาหมอทันที เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ

1. ชายโครงขวา คือ ตับและถุงน้ำดีอาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่

3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้

4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ (ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)

7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้